หมวด เทคนิคการขับรถอย่างปลอดภัย

  • การขับรถขณะฝนตก ผู้ขับขี่ไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉินตลอดเส้นทาง

  • เมื่อเกิดรถเสีย ควรนำรถจอดเข้าข้างทาง เปิดไฟฉุกเฉิน

  • สัญญาณเตือนบนแผงหน้าปัดรถสีแดง ไม่ควรปรากฏขณะขับรถ

  • การจับพวงมาลัยรถ นิ้วมือทั้งห้าต้องจับพวงมาลัยให้กระชับ สามารถหมุนได้คล่องตัว

  • เมื่อผู้ขับขี่ขับรถเสียหลักบนถนนเปียกลื่น ควรถอนคันเร่ง จับพวงมาลัยให้มั่นประคองรถต่อไป

  • หากเครื่องยนต์ดับขณะขับรถขึ้นทางลาดชัน ให้เหยียบเบรก ดึงเบรกมือ เข้าเกียร์ว่าง และติดเครื่องใหม่

  • หากกระจกบังลมหน้ารถแตกร้าวขณะขับรถ ให้ตั้งสติ ลดความเร็ว จอดรถข้างทาง เปิดไฟฉุกเฉิน

  •  การขับรถช่วงฤดูฝน ควรตรวจสอบที่ปัดน้ำฝนก่อนเป็นลำดับแรกการเปิดไฟหน้ารถเมื่อต้องเร่งรีบไปทำงาน      
 เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง

  •  หากขณะขับรถ มีกลิ่นเหม็นไหม้ แอร์เริ่มไม่เย็น เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น ควรจอดรถในที่ปลอดภัยแล้วเรียกช่างมาตรวจเช็ค

  • การหยุดรถบนทางลาดชันอย่างปลอดภัย ให้เหยียบคลัทช์ เหยียบเบรก ดึงเบรกมือ และปลดเกียร์ว่าง

  • การหมุนพวงมาลัยรถขณะจอดรถอยู่กับที่ จะส่งผลให้ดอกยางสึกเร็วกว่าปกติ

  • การหยุดรถอย่างกะทันหัน (รถไม่ใช้เบรก ABS) ให้เหยียบและปล่อยเบรกสลับกัน (ย้ำเบรกซ้ำๆ)

  • รถที่ขับมาด้วยความเร็วสูงแล้วเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน (รถไม่ใช้เบรก ABS) จะส่งให้ล้อจะล็อค และรถจะหมุน

  • หากยางรถแตกขณะขับรถ พวงมาลัยรถจะหนักและรถจะเอียง

  • หากยางรถแตกหรือระเบิดขณะขับรถ ให้คุมสติ บังคับพวงมาลัย ลดความเร็วลง และไม่ควรเหยียบเบรกกะทันหัน

  •  หากฝากระโปรงหน้ารถเปิดขณะขับรถ ให้ลดความเร็วแล้วจอดข้างทาง เพื่อปิดฝากระโปรงให้เรียบร้อย

  • วิธีแก้ไขเบื้องต้นเมื่อรถเกิดไฟลัดวงจร คือ ตัดกระแสไฟหรือหาทางตัดขั้วแบตเตอรี่ออกก่อน

  • การปรับระดับที่นั่งคนขับห่างเกินไป จะส่งผลให้การบังคับพวงมาลัยรถลำบาก ใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่สะดวก เกิดเหตุฉุกเฉิน    ไม่สามารถใช้คลัทช์และเบรกได้

  •  วิธีการตรวจสอบว่าเข็มขัดนิรภัยยังใช้งานได้ดีหรือไม่ คือ กระตุกดึงสายเข็มขัดอย่างรวดเร็ว แล้วสายเข็มขัดต้องล็อค

  • หากรถเสียหลักลื่นไถลพร้อมเสียการทรงตัว ให้ลดความเร็วรถ จับพวงมาลัยให้มั่น

  • การจอดรถชิดขอบทาง ล้อหน้าควรอยู่ในลักษณะตรงและขนานกับขอบทางหรือฟุตปาธ

  • การเข้าเกียร์ถอยหลังขณะรถยังไม่หยุดนิ่ง มีผลเสียทำให้เข้าเกียร์ยากและทำให้เกียร์เสียเร็วกว่าปกติ

  • การขับรถถอยหลัง ให้ถอยอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง

  • การสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ถูกต้อง คือ ขึ้นเบรกมือ-ปลดเกียร์ว่าง-ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้า-เหยียบคลัทช์-สตาร์ทเครื่องยนต์

  •  หากเกิดฝนตกหนักจนมองเห็นทางไม่ชัดเจน ให้จอดรถบริเวณที่ปลอดภัย เปิดไฟหน้ารถและเปิดไฟฉุกเฉิน

  • การจับพวงมาลัยขณะขับรถทางตรง มือขวาของผู้ขับขี่ควรอยู่ในตำแหน่งเลข 2 และมือซ้ายควรอยู่ในตำแหน่ง                  เลข 10 ของหน้าปัดนาฬิกา

  • เมื่อขับรถในขณะฝนตก ท่านไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉินตลอดทาง

  • จากรูป หากท่านต้องการที่จะขับตรงผ่านไป ท่านควรลดความเร็วและเพิ่มความระมัดระวังทุกครั้งก่อนถึงทางแยก
  • จากรูป หากท่านต้องการที่จะขับตรงผ่านไป ท่านควรชะลอรถและให้รถทางขวามือขับผ่านไปก่อน    
  • จากรูป หากท่านต้องการที่จะเลี้ยวขวา ท่านควรชะลอรถเนื่องจากรถคันหน้าจะเลี้ยวซ้าย
  • จากรูป หากท่านพบเห็นสัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ท่านควรค่อยๆ เหยียบเบรกย้ำๆ เพื่อเตือนรถข้างหลังระวังและเตรียมหยุด      
  • จากรูป หากท่านต้องการที่จะเลี้ยวซ้าย ท่านควรลดความเร็ว และระมัดระวังรถด้านซ้าย รวมทั้งคนเดิมข้ามถนน  
  • จากรูป หากท่านต้องการที่จะเลี้ยวซ้าย ท่านควรเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ชะลอรถ หยุดให้คนเดินถนนข้ามทางก่อ  
  • จากรูป หากท่านต้องการที่จะเลี้ยวขวา ท่านควรหยุดรอในตำแหน่งที่จะเลี้ยวและให้รถด้านตรงข้ามผ่านไปก่อน  

  • จากรูป หากท่านต้องการที่จะเลี้ยวขวา ท่านควรเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ชะลอรถ หยุดให้คนเดินถนนข้ามทางก่อน
  • จากรูป หากท่านต้องการขับตรงไป ท่านควรลดความเร็วลง และให้ทางแก่รถที่เลี้ยวออกมา
 
  • จากรูป รถคัน ค.อยู่ในจุดบอดของรถคันสีขาว      

  • ผู้ขับขี่จะต้องหันหน้ามองไปทางด้านข้างก่อนทำการเปลี่ยนช่องจราจร เพื่อตรวจดูจุดบอดของรถด้านขวา        

  • บริเวณที่คนขับไม่สามารถมองเห็นได้ชัดในขณะขับรถ คือความหมายที่ถูกต้องของจุดบอด  

  • ถ้าเครื่องดับขณะกำลังเคลื่อนที่ออกจากทางลาดชัน ท่านควรทำการเบรกทันทีเพื่อไม่ให้รถไหล

  • การขับขี่ขึ้นหรือลงทางลาดชัน ควรใช้เกียร์ต่ำ      

  • ในการขับขี่ลงทางลาดชัน ผู้ขับขี่ควรใช้เกียร์ต่ำเพื่อหน่วงความเร็วของรถ          

  • ไม่ควรใช้เบรกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานในขณะขับขี่ลงทางลาดชันเพราะ จะทำให้ผ้าเบรกไหม้      

  • ในการขับขี่ลุยน้ำ ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วลง แต่เร่งเครื่องยนต์ให้มากกว่าปกติเล็กน้อย        

  • ขณะขับรถลุยน้ำต้องเร่งเครื่องยนต์มากกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์ดับ     

  • ท่านควรขับช้าๆ ตามหลังรถคันหน้าในระยะห่างพอสมควรขณะขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วม

  • หลังจากขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วม ท่านควรทดสอบระบบเบรก           

  • ลงทางลาดชันด้วยความปลอดภัย คือประโยชน์สูงสุดของการชะลอรถด้วยเครื่องยนต์ในขณะลงทางลาดชัน      

  • น้ำฝนจะกลายเป็นแผ่นฟิล์มรองรับระหว่างยางกับพื้นถนน จึงลื่นไถลได้ง่ายขณะฝนตกใหม่ๆ            

  • การขับรถเร็วและกระแทกเบรกรถอย่างรุนแรง ไม่ควรปฏิบัติเมื่อขับขี่ในขณะฝนตกหนัก       

  • สำหรับการขับขี่ในเวลากลางคืนควรขับให้ช้ากว่าปกติหรือไม่เร็วกว่าสายตาที่มองเห็น        

  • หลังจากเกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณเพื่อเตือนให้รถอื่นทราบ   

  • หากมีผู้บาดเจ็บหลังจากเกิดอุบัติเหตุ ท่านควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล        

  • รถจะประหยัดน้ำมันหากขับด้วยความเร็วคงที่       

  • หากกำลังขับขี่รถอยู่บนถนน แล้วฝนเริ่มตก ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วของรถลง       

  • เมื่อขับรถในเวลากลางคืน ผู้ขับขี่ควรทิ้งระยะห่างระหว่างรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ           

  • ก่อนการขับรถเป็นระยะทางไกลๆ  ผู้ขับขี่ควรพักผ่อนให้เพียงพอ       

  • จากสถานการณ์ดังรูป หากต้องการจะเคลื่อนที่ต่อไป ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบความปลอดภัยทางด้านขวา 
  • เมื่อต้องขับรถเข้าใกล้ทางรถไฟที่ไม่มีแผงกั้น ต้องชะลอรถและควรเตรียมพร้อมที่จะหยุดรถตลอดเวลา
  • เมื่อขับผ่านทางที่มีป้ายเตือนว่า ระวังทางข้างหน้าหินหล่นทับเส้นทางบ่อย”  หรือป้ายเตือนดังในรูป ท่านควรชะลอความเร็วลง ขับขี่ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น   

  • เมื่อพบว่าไฟไหม้เครื่องยนต์ขณะขับรถ ผู้ขับรถควรตั้งสติ ค่อยๆ ขับรถจอดข้างทาง  
        
  • การบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กำหนด ทำให้รถเปลืองน้ำมัน   

  • ความไม่พร้อมของคนขับมีผลต่อการเกิดสถานการณ์อันตรายมากที่สุด  

  • การเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าในขณะฝนตกควรมากกว่าการขับรถในสภาวะปกติ เป็นการขับรถอย่างปลอดภัย
  
  • จากรูป หากท่านต้องการแซงรถข้างหน้าแล้วกลับช่องทางเดินรถด้านซ้าย ท่านจะต้องตรวจสอบความปลอดภัยแล้วเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวาก่อนแซง  
    
  • เปิดไฟฉุกเฉินเมื่อรถจอดเสียอยู่บริเวณไหล่ทาง เป็นการใช้ไฟฉุกเฉินได้อย่างเหมาะสม      

  • รถที่ขับมาด้วยความเร็วสูงแล้วเหยียบเบรกกะทันหัน (รถที่ไม่มีระบบเบรก ABS) จะมีผลทำให้ล้อจะล็อกและรถอาจจะหมุน

  • การหยุดรถอย่างกะทันหัน (รถที่ไม่มีระบบเบรก ABS) ควรเหยียบเบรกสลับกับปล่อยเบรกเป็นจังหวะ 

  • ใช้เบรกมือช่วยเป็นการหยุดรถที่ไม่ถูกต้องในการเบรกฉุกเฉิน

  • การจอดรถซ้อนคัน เป็นการจอดรถลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ     

  • ห้ามจอดตามรูป 2. และรูป 3.


  • หากท่านจอดรถชิดขอบทางทางด้านซ้ายอยู่ และต้องการที่จะเคลื่อนตัวออก ท่านควรมองดูรถที่ตามมาผ่านกระจกมองข้างและกระจกมองหลัง จากนั้นเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวา                     

  • เมื่อฝนเริ่มตกหนักในขณะที่ท่านขับรถอยู่ในเขตที่จำกัดความเร็วไม่เกิน  60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ท่านควรชะลอความเร็วลง 

  • การขับรถชิดคันหน้ามากเกินไป สาเหตุใดต่อไปนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการชนท้าย                

  • การขับรถทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้ามากเกินไป จะเกิดปัญหาการจราจรติดขัด

  • เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุ ผู้ขับขี่ต้องทิ้งระยะห่างให้เหมาะสมกับความเร็วของรถ          

  • เมื่อรถคันหลังขับตามมาในระยะกระชั้นชิด ควรเพิ่มความเร็ว เป็นการขับขี่ที่ไม่ถูกต้อง        

  • การเปลี่ยนช่องทางจราจร ควรมองกระจกข้าง ให้สัญญาณแล้วเปลี่ยนช่องจราจรเมื่อเห็นว่าปลอดภัย
           
  • หากท่านเห็นรถบรรทุกที่อยู่ข้างหน้าเปิดไฟเลี้ยวซ้ายแต่กำลังเคลื่อนไปทางขวา ท่านควรรักษาระยะห่างไว้และรอให้รถใหญ่เคลื่อนไปในทิศทางที่แน่นอน  

 

  • จากรูป รถคันสีเขียว มีสิทธิที่จะได้ไปก่อน
         

  • กรณีที่ท่านเห็นรถคันอื่นให้สัญญาณเพื่อเลี้ยวรถหรือเปลี่ยนช่องทางการเดินรถ ท่านต้องชะลอความเร็วและให้ท 

  • จากรูป รถคันสีขาวจะต้องให้ทาง        

  • รูป 3.แสดงการกลับรถที่ถูกต้อง
          

  • การแซงขณะที่รถข้างหลังกำลังจะแซงรถของท่านเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง   
  
  • จากรูป หากรถที่ท่านกำลังจะแซงเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวา ผู้ขับขี่ควรชะลอความเร็วและรอจนกว่ารถคันหน้าเลี้ยวผ่านไป 
  • การแซงรถคันหน้าที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วที่ใกล้เคียงกันอย่างถูกต้อง ควรใช้ระยะทางและเวลาในการแซงมากขึ้น

  • การเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าในระยะที่ผู้ขับขี่สามารถหยุดรถได้ทัน เป็นการขับรถอย่างปลอดภัย     

  • หากท่านขับรถด้วยความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแต่ท่านรู้สึกว่าเร็วเกินไป ท่านควรชะลอความเร็วลงจนท่านคิดว่าปลอดภัย        

  • การเลี้ยวรถที่ทางบังคับเลี้ยว เป็นการขับขี่ในทางลักษณะที่ไม่จำเป็นต้องให้สัญญาณไฟเลี้ยว         

  • เปิดไฟสูงขณะที่ไม่มีรถสวนทาง เป็นการเปิดไฟสูงในสถานการณ์ที่ถูกต้อง        

  • เมื่อรถของท่านเสียบริเวณกลางถนน ท่านควรเปิดไฟฉุกเฉินและนำรถจอดเข้าข้างทาง       

  • เมื่อรถของท่านเสียท่านควรใช้สัญญาณไฟฉุกเฉิน 

  • การเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินตลอดเวลาเพื่อทำให้ผู้ขับขี่คันอื่นเข้าใจว่าเป็นรถที่ขับเร็ว เป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง  

  • การหยุดรถในขณะฝนตกจะใช้ระยะทางมากกว่าปกติ          

  • การดื่มสุราก่อนขับรถเป็นปัจจัยที่ทำให้การเบรกด้อยประสิทธิภาพ

  • หากท่านจอดรถในทางเดินรถหรือบนไหล่ทางในเวลากลางคืน ท่านต้องเปิดไฟหรี่           

  • จากรูป เมื่อท่านพบรถประจำทางเปิดไฟเลี้ยวขวาเพื่อออกจากป้ายรถเมล์ ท่านควรชะลอความเร็วและให้รถประจำทางไปก่อน        
  • จากรูป หากท่านต้องการแซงบนถนนที่มีรถวิ่งสวนมา ท่านต้องหยุดรอให้รถที่ขับสวนมาผ่านไปก่อนแล้วค่อยขับ
 

  • ท่านกำลังขับขี่ผ่านบริเวณที่มีรถจอดอยู่ข้างทาง แต่ท่านสังเกตเห็นลูกบอลกลิ้งออกมา ท่านควรลดความเร็วลงและเตรียมที่จะหยุดรถ   
  

  • จากรูป สิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแซง คือรถคันหลังไม่สามารถแซงคันหน้าได้      
  • เมื่อท่านขับรถเข้าใกล้รถที่จอดอยู่ข้างทาง ท่านควรเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เตรียมพร้อมที่จะหยุดเสมอ      

  • เมื่อท่านขับรถเข้าใกล้รถที่จอดอยู่ข้างทาง ท่านควรเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เตรียมพร้อมที่จะหยุดเสมอ      

  • ในการขับขี่ท่านควรหลีกเลี่ยงการขับขี่เร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด   

  • เมื่อท่านขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขังแล้ว ท่านควรใช้เท้าแตะเบรกเพื่อให้ผ้าเบรกแห้งเร็ว  

  • การขับขี่ผ่านทางร่วมทางแยกต้องปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจรหรือกฎจราจรอย่างเคร่งครัด

  • จากรูปรถคันสีเขียวมีสิทธิที่จะผ่านไปก่อน          
  • จากรูป หากท่านต้องการที่จะเลี้ยวขวาที่ทางแยกรูปตัว ท่านจะต้องให้ทั้งรถทางขวาและซ้ายไปก่อน          
  • จากรูป เมื่อท่านขับรถมาถึงทางแยกพบสัญญาณไฟเขียว แต่เกิดจราจรติดขัดในเส้นทางที่ท่านจะสัญจร ท่านควรรอจนกว่ารถข้างหน้าของท่านจะเคลื่อนตัว แล้วจึงขับรถเข้าไปต่อคันหน้า

  • จากรูป รถคันสีฟ้าอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม        


  • จากรูป รถคันสีแดงมีสิทธิไปก่อนเมื่อมีสัญญาณให้หยุดทั้งสองทิศทาง 

  • หากท่านพบสัญญาณไฟกะพริบสีแดงที่บริเวณทางร่วมทางแยก ท่านต้องหยุดรถหลังเส้นหยุดรถ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงขับผ่านไปด้วยความระมัดระวัง

  • หากท่านพบสัญญาณไฟกะพริบสีเหลืองที่บริเวณทางร่วมทางแยก ท่านต้องชะลอความเร็วลง และขับผ่านไปด้วยความระมัดระวัง    

  • จากรูป ในกรณีที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจรรถคันสีเหลืองมีสิทธิที่จะได้ไปก่อน       
  • จากรูป หากรถคันสีแดง และรถคันสีเหลือง สามารถไปได้ในเวลาเดียวกันหากต้องการจะเลี้ยวขวาในเวลาเดียวกั 
  • การขับด้วยความเร็วที่ต่ำ เป็นการขับขี่ในบริเวณชุมชนที่ถูกต้อง         

  • ในการขับขี่ภายในชุมชน ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับป้ายโฆษณาข้างทาง       

  • เมื่อขับขี่เข้าใกล้บริเวณทางม้าลายหน้าโรงเรียน ผู้ขับขี่ควรชะลอความเร็วลง                  

  • เมื่อขับรถเข้าใกล้บริเวณทางม้าลาย แต่ไม่มีคนข้ามทางม้าลาย ผู้ขับขี่ควรไม่ต้องให้สัญญาณ เพียงชะลอความเร็วลงก็พอ
                      
  • หากท่านกำลังขับขี่เข้าสู่วงเวียน และพบรถขนาดใหญ่ที่กำลังเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายแต่ตัวรถค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางขวา ท่านควรรักษาระยะห่างไว้     
   
  • การขับแซงไปมา เป็นสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติในการขับขี่ผ่านวงเวียน (การขับขี่ผ่านวงเวียน)     

  • การลดความเร็วก่อนเข้าโค้ง เป็นการขับรถเข้าทางโค้งอย่างปลอดภัย  

  • หากรถคันสีเหลืองต้องการมุ่งหน้าตรงผ่านวงเวียน  จะต้องเปิดไฟเลี้ยวซ้ายเพื่อออกจากวงเวียนที่ตำแหน่ง จุดที่ 3         

  • หากท่านกำลังขับตามหลังคนขี่จักรยาน แต่ท่านต้องการที่จะเลี้ยวซ้าย ท่านควรชะลอความเร็วจนกว่าจักรยานจะผ่านทางเลี้ย
  • ท่านควรระวังเป็นพิเศษเมื่อพบรถโดยสารจอดอยู่ในถนนฝั่งตรงข้ามผู้เดินเท้าอาจเดินออกมาทางข้างหลังรถโดยสาร       

  • กรณีที่รถสีน้ำตาลมาจากทางหลักและรถสีน้ำเงินออกมาจากซอยซึ่งเป็นทางรอง รถคันสีน้ำเงินต้องหยุดให้ทาง  

  • ไม่ควรแซงในทางที่มีทัศนวิสัยไม่ดี  ควรประเมินเวลาที่ใช้ในการแซงให้ถูกต้อง  แซงในขณะที่เห็นว่าปลอดภัยแล้วเท่านั้น 

  • เมื่อท่านเห็นสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองในขณะที่ท่านกำลังจะขับขี่ผ่านทางแยกในเวลาเช้าตรู่ที่ไม่มีการจราจรอยู่ในบริเวณรอบๆ ท่านควรชะลอความเร็วและเตรียมหยุดรถ 
        
  • ในขณะที่ท่านกำลังหยุดรอสัญญาณไฟอยู่ที่ทางแยก แล้วไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ท่านควรตรวจสอบการจราจรรอบๆ ข้างก่อน จากนั้นจึงออกรถ    
  
  • จากรูป ผู้ขับขี่รถคันสีแดงควรมองกระจกข้าง ให้สัญญาณ และเปลี่ยนช่องทางเมื่อปลอดภัย
  • จากรูป ผู้ขับขี่รถคันสีแดงควรระมัดระวังรถรถจักรยานยนต์มากที่สุด     

  • ตรวจความพร้อมของรถยนต์ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักการขับรถอย่างปลอดภัย  

  • หลักการขับรถเข้าโค้งที่ถูกต้องควร ลดความเร็วก่อนเข้าโค้ง เพิ่มความเร็วขณะออกจากโค้ง

  • เพื่อความปลอดภัยเมื่อออกรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ประมาณ 3-4 เมตร ควรทดสอบระบบเบรกเป็นอันดับแรก  

  • ข้อควรปฏิบัติขณะขับรถขณะฝนตกคือ เปิดไฟส่องสว่าง       

  • ถ้าขณะขับรถเกิดยางแตกหรือยางระเบิดควรจับพวงมาลัยให้มั่น แล้วค่อยๆ เบรกและนำรถเข้าข้างทาง

  • ในสภาพถนนปกติ รถพร้อม คนพร้อม ขับรถตามรถคันหน้าต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าห่างพอสมควรและสามารถหยุดรถได้โดยปลอดภัย จึงจะปลอดภัยเมื่อรถคันหน้าหยุดกะทันหัน       

  • ขณะขับรถหากเกิดคันเร่งค้างควรตั้งสติ ใช้ปลายเท้างัดคันเร่งขึ้นมา     

  • กรณีรถเสียบนทางด่วน ให้เปิดไฟฉุกเฉิน

  • การขึ้นและลงเขาให้ใช้เกียร์ต่ำ

  • การขับรถอย่างปลอดภัย ต้องไม่ขับรถไปชนคันอื่น ไม่เป็นเหตุให้รถคันอื่นชนกัน ป้องกันไม่ให้รถคันอื่นมาชนเรา 

  • ห้ามเปิดไฟสูงขณะที่ขับรถตามคันหน้าหรือรถที่วิ่งสวนทางมา เพราะจะทำให้ผู้ขับรถคันหน้าและรถที่วิ่งสวนทางมามองทางไม่ชัดเจน           

  • การขับรถทางไกลเมื่อรู้สึกว่าตนเองง่วงควร หยุดพัก นอน หรือยืดเส้นยืดสายตามจุดพัก หรือปั๊มน้ำมัน

  • การขับรถที่ปลอดภัยในขณะที่ฝนตก ต้องทิ้งช่วงห่างจากรถคันหน้า เผื่อไว้มากๆ  เปิดไฟหน้า ใช้อัตราความเร็วที่ปลอดภัย

  • การข้ามทางรถไฟรางคู่ที่ไม่มีเครื่องกั้นเมื่อรถไฟผ่านไปแล้วผู้ขับรถควรระวัง รถไฟที่อาจจะสวนทางมาอีกทางหนึ่ง         

  • การขับรถข้ามทางรถไฟที่ไม่มีเครื่องกั้นเมื่อคันด้านหน้าขับข้ามทางรถไฟไปแล้วท่านควร ตรวจสอบความปลอดภัยอีกครั้งก่อนข้ามทางรถไฟ    

  • เมื่อท่านขับรถที่มีน้ำหนักบรรทุกมาก ประสิทธิภาพของเบรกจะน้อยลง ระยะเบรกจะยาวขึ้น 

  • เมื่อท่านขับรถที่บรรทุกสิ่งของที่มีความสูง จุดศูนย์ถ่วงจะสูงขึ้นทำให้พลิกคว่ำได้ง่าย        

  • ความเหนื่อยล้า สภาพถนนที่เปียก น้ำหนักบรรทุก มีผลต่อระยะการเบรกรถ        

  • ในการขับรถควรใช้คันเร่งควบคุมในการเร่งและชะลอรถให้มากที่สุด     

  • เมื่อรถของท่านจอดเสียกลางถนนหลวง ให้เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินพร้อมไฟหน้ารถ ตั้งสัญลักษณ์แสดงว่ามีรถจอดเสียในระยะ 150 เมตร เปิดฝากระโปรงด้านหน้าและท้ายรถ เพื่อส่งสัญญาณ    

  • ก่อนขับรถ ผู้ขับขี่ที่ดีควรเตรียมความพร้อมของตนเอง โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ           

  • การเตรียมความพร้อมของรถก่อนขับรถ ควรตรวจแรงดันลมยาง,เบรก,น้ำมันหล่อลื่น          

  • เมื่อเกิดรถเสีย  ควรเปิดไฟฉุกเฉินนำรถจอดเข้าข้างทาง    

  • สัญญาณไฟเตือนบนแผงหน้าปัดรถสีแดง  เป็นสีที่ไม่ควรปรากฏขณะขับรถ        

  • การจับพวงมาลัยควรอยู่ในลักษณะที่  นิ้วมือทั้งห้าจับพวงมาลัยให้กระชับ สามารถหมุนได้คล่องตัว    

  • เมื่อผู้ขับขี่ขับรถเสียหลักบนถนนเปียกลื่น ควรถอนคันเร่ง จับพวงมาลัยให้มั่นประคองรถต่อไป          

  • ขณะขับรถ ถ้ากระจกบังลมหน้ารถแตกร้าว  ควรตั้งสติ  เปิดไฟฉุกเฉิน ลดความเร็ว  จอดรถข้างทาง    

  • ขณะฝนตกใหม่ๆ รถมักลื่นไถล เพราะน้ำฝนจะกลายเป็นฟิล์มรองรับระหว่างยางกับพื้นถนน  

  • ขณะขับรถเมื่อฝนตกหนัก ไม่ควรเบรกรถอย่างรุนแรงและรวดเร็ว         

  • เพื่อความปลอดภัยในการขับรถช่วงฤดูฝน  ควรตรวจสอบที่ปัดน้ำฝนเป็นลำดับแรก           

  • ในขณะขับรถลุยน้ำ  ผู้ขับขี่ควรเร่งเครื่องยนต์ให้มากกว่าปกติเล็กน้อย  และควบคุมเครื่องยนต์ไม่ให้ดับ

  • หลังจากขับรถลุยน้ำ ผ้าเบรกเปียกมีวิธีแก้ไขให้แห้ง โดยขับรถช้าๆ เหยียบเบรกเบาๆ แล้วปล่อยหลายๆ ครั้ง    

  • ขณะขับรถลุยน้ำ สาเหตุที่ต้องเลี้ยงคลัตช์และเร่งเครื่องยนต์มากกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์ดับ           

  • ควรเปิดไฟหน้ารถ เมื่อฝนตกหนัก เมื่อมีควันไฟปกคลุมถนน เมื่อไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าในระยะต่ำกว่า 150 เมตร 

  • การขับรถผ่านบริเวณน้ำท่วม ควรขับช้าๆ  ตามหลังรถคันหน้าในระยะห่างพอสมควร          
                       
  • เพื่อความปลอดภัยก่อนขับรถ  ผู้ขับขี่ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 

  • ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุด คือผู้ขับขี่รถ        

  • "นางสมศรีขับรถปฏิบัติตามความพอใจของตัวเอง" เป็นพฤติกรรมการขับรถที่ถือว่าไม่ปลอดภัย         

  • ก่อนออกรถจากไหล่ทางด้านซ้าย  ผู้ขับขี่ต้องมองกระจกมองข้างด้านขวา  เปิดไฟเลี้ยวขวา พร้อมกับหันศีรษะมองข้ามไหล่ขวาไปทางด้านหลังก่อนออกรถ             

  • ภายหลังออกรถไปประมาณ 3  ถึง  4  เมตร  ควรทดสอบระบบเบรก   

  • การขับรถขึ้นทางลาดชัน ควรใช้เกียร์ต่ำและขับด้วยความระมัดระวัง     

  • ในขณะที่ขับรถอยู่  มีกลิ่นเหม็นไหม้  แอร์เริ่มไม่เย็น เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น ควรจอดรถในที่ปลอดภัยแล้ว ตรวจเช็ครถในเบื้องต้น

  • ขณะขับรถเครื่องยนต์เกิดความร้อนสูง  ควรหยุดรถที่ปลอดภัย  แล้วปล่อยให้เครื่องเย็นก่อน

  • ในการขับรถทางไกล ผู้ขับขี่ควรเตรียมความพร้อมของร่างกาย โดยพักผ่อนให้เพียงพอ     

  • การขับรถในทางบังคับเลี้ยว ไม่จำเป็นต้องเปิดไฟเลี้ยว       

  • การหมุนพวงมาลัยรถ  ขณะจอดรถอยู่กับที่จะทำให้ดอกยางสึกเร็วกว่าปกติ       

  • การหยุดรถอย่างกะทันหัน  (รถไม่มีเบรก ABS)   ควรเหยียบและปล่อยเบรกสลับกัน (ย้ำเบรกซ้ำๆ)   

  • รถที่ขับมาด้วยความเร็วสูงแล้วเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน (รถไม่มีเบรก ABS)  ล้อจะล็อก  และรถจะไม่สามารถควบคุมได้ 

  • ก่อนขับรถเข้าโค้งหรือมุมเลี้ยว  ควรควบคุมความเร็วของรถให้เหมาะสมกับโค้งหรือมุมเลี้ยว 

  • ขณะขับรถ ยางรถแตก  จะมีอาการ พวงมาลัยหนัก รถจะเอียง           

  • ยางที่หมดอายุจะมีลักษณะมีรอยแตกร้าวตามแนวขอบยาง   

  • ในขณะขับรถ ยางรถแตกหรือระเบิด ผู้ขับขี่ควรคุมสติ บังคับพวงมาลัย ลดความเร็วลงและไม่ควรเหยียบเบรกกะทันหัน      

  • ในขณะที่กำลังขับรถ ถ้าฝากระโปรงหน้ารถเปิด ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วแล้วจอดข้างทาง เพื่อปิดฝากระโปรงให้เรียบร้อย   

  • เมื่อรถเกิดไฟลัดวงจร วิธีแก้ไขเบื้องต้นคือการตัดกระแสไฟ หรือหาทางงัดขั้วแบตเตอรี่ออกก่อน

  • ลมยางล้อหน้าอ่อน จะมีผลทำให้เวลานั่งรู้สึกเหมือนรถจะกระตุกอยู่ตลอดเวลา    

  • การปรับระดับที่นั่งคนขับห่างเกินไป จะมีผลทำให้บังคับพวงมาลัยลำบาก ใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่สะดวก

  • การตรวจสอบว่าเข็มขัดนิรภัยยังใช้งานได้ดีหรือไม่ โดยกระตุกดึงสายเข็มขัดอย่างเร็ว แล้วสายเข็มขัดต้องล็อก   

  • การมองไปยังสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขับรถ ไม่ใช่การมองที่ถูกวิธีในขณะขับรถ   

  • การเข้าเกียร์ถอยหลังขณะรถยังไม่หยุดนิ่ง มีผลทำให้เข้าเกียร์ยากและทำให้เกียร์เสียเร็วกว่าปกติ      

  • การขับรถถอยหลัง ควรถอยช้าๆ แล้วใช้ความระมัดระวัง      

  • การตรวจลมยางควรตรวจขณะที่ยางยังเย็นอยู่      

  • การสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ถูกต้อง คือ ขึ้นเบรกมือ-ปลดเกียร์ว่าง -ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้า-สตาร์ทเครื่องยนต์    

  • ขณะขับรถเมื่อฝนตกหนัก ไม่ควรเบรกรถอย่างรุนแรงและรวดเร็ว         

  • หากเกิดฝนตกหนักจนมองเห็นทางไม่ชัดเจน ผู้ขับขี่ควรจอดรถบริเวณที่ปลอดภัย เปิดไฟหน้ารถและเปิดไฟฉุกเฉิน          

  • น้ำหนักบรรทุกเพิ่มมากขึ้น  ทำให้การหยุดรถต้องใช้ระยะทางมากขึ้นจึงสามารถหยุดรถได้  

  • ขับรถลงทางลาดชัน ไม่ควรใช้เบรกมือ  

  • การจับพวงมาลัยขณะขับรถทางตรง มือซ้ายและขวาของผู้ขับขี่ ควรอยู่ในตำแหน่งเลข 2  และเลข 10 ของหน้าปัดนาฬิกา

  • น้ำหนักบรรทุก สภาพพื้นผิวถนน ความเร็วของรถ มีผลให้ระยะการหยุดรถ (ระยะเบรก) ยาวขึ้น         

  • เมื่อรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ ควรใช้สัญญาณไฟฉุกเฉิน        

  • การฝึกขับรถแบบ ขับไปพูดไป” มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกสมองให้เกิดสมาธิและสมองทำงานสัมพันธ์กับตา         

  • เมื่อเราเตรียมขับรถแซงรถคันหน้า เราควรให้สัญญาณไฟก่อน

  • ควรเปิดไฟส่องสว่างขณะขับรถฝ่าหมอกควันหรือฝน          

  • หลังจากขับรถลุยน้ำ เมื่อเราขึ้นที่แห้งแล้วควรทดสอบเบรกหลายๆ ครั้ง

  • ถ้าขณะขับรถเกิดยางแตกหรือยางระเบิดควรถือพวงมาลัยให้มั่น แล้วค่อยๆ เบรกและนำรถเข้าข้างทาง

  • ในสภาพถนนปกติ รถพร้อม คนพร้อม ขับรถตามรถคันหน้าต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าห่างพอสมควรและสามารถหยุดรถได้โดยปลอดภัย จึงจะปลอดภัยเมื่อรถคันหน้าหยุด      

  • ห้ามพูดโทรศัพท์ขณะขับรถ  ห้ามหยุดหรือจอดรถคุยกันกลางถนน  ห้ามแซงซ้ายในที่ห้ามแซงซ้าย   

  • ท่านควรหมุนพวงมาลัยลักษณะ ใช้ระบบดึง-ดันในการเลี้ยงรถ           

  • การขึ้นและลงให้ใช้เกียร์ต่ำ    

  • เมื่อเห็นผู้ขับขี่เกิดอุบัติเหตุควรช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเท่าที่จำเป็น        

  • สาเหตุที่ห้ามเปิดไฟสูงขณะที่ขับรถตามคันหน้าหรือรถที่วิ่งสวนทางมา เพราะจะทำให้ผู้ขับรถคันหน้าและรถที่วิ่งสวนทางมามองทางไม่ชัดเจน 

  • การขับรถทางไกลเมื่อรู้สึกว่าตนเองง่วงควรหยุดพัก นอน หรือยืดเส้นยืดสายตามจุดพัก หรือปั๊มน้ำมัน 

  • เปิดไปฉุกเฉินตลอดเวลา ไม่ใช่วิธีการขับรถที่ปลอดภัยในขณะที่ฝนตก 

  • การฝึกขับรถแบบ ขับไปพูดไป” มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกสมองให้เกิดสมาธิและสมองทำงานสัมพันธ์กับตา                     

  • เมื่อเราเตรียมขับรถแซงรถคันหน้า เราควรดูกระจกก่อนเป็นอันดับแรก   

  • ข้อควรปฏิบัติขณะขับรถฝ่าหมอกควันหรือฝนคือเปิดไฟส่องสว่าง 
                   
  • ในสภาพถนนปกติ รถพร้อม คนพร้อม ขับรถตามรถคันหน้าต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าในระยะห่างพอสมควรและสามารถหยุดรถได้โดยปลอดภัยจึงจะปลอดภัยเมื่อรถคันหน้าหยุดกะทันหัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น